เทศน์เช้า

กรงขังความคิด

๒๑ มิ.ย. ๒๕๔o

 

กรงขังความคิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นประโยชน์ของพวกเราด้วย เพราะว่าพวกเราเป็นคนทำไง เกียรติศักดิ์ เกียรติภูมิ เวลาเราไปไหน เราก็ไม่อยากจะพูดมากนะ เราก็ว่าอย่างนั้นที่ตัวเองว่า นั่นแหละว่าชาวโพธารามบางคนยังไม่เห็นด้วย แต่ความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอันนี้เป็นภายนอก

โลก! ฟังสิ โลกของเรานี้ขังมนุษย์ มนุษย์ที่มีหัวใจโลกนี้ขังเอาไว้ เราจะออกไปไหน จะไปต่างประเทศขึ้นเครื่องบินไป ก็ต้องไปลงอีก นี่โลกนี้ขังมนุษย์ มนุษย์อยู่ในแค่โลกนี้ นี่ความคิดของโลก แต่ ๓ โลกธาตุ เวลาตายไป หัวใจมันไปเกิดตาย เกิดตายใน ๓ โลกธาตุเห็นไหม

กรงขังของหัวใจใหญ่กว่ากรงขังของร่างกาย

กรงขังร่างกายอยู่ในโลกเรานี้แหละ สัตว์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เวลาตายไปจิตวิญญาณนี้ออกไปเกิดในสวรรค์ ไปเกิดในนรก ออกจากโลกนี้ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ๓ โลกธาตุนี้ก็เป็นกรงขังที่ใหญ่ขึ้น

ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดที่เป็นอย่างนี้มันเป็นกระแส เพราะความคิดเกิดขึ้นจากภาพพจน์ จากความเป็นไปของโลก ความเห็นของโลก ความคิดถึงมีหลายหลาก ถ้าเอาความคิดนี้มาเป็นวัตถุนะ ตายแน่ๆ เลย เพราะมันคิดวันหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าความคิดนี้เป็นวัตถุนะ ล้นโลก ล้นแล้วล้นอีกเลย ฉะนั้นความคิดมันถึงได้ขัดแย้งกัน

นี้ความคิดขัดแย้งกันนั่น เราก็วางไว้เพราะว่ามันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ความคิดคนไม่เหมือนกัน โลภัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้มันเป็นพลังงานนะ หัวใจนี้มันเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ตัวใจแท้ๆ นี้ไม่เคยบริสุทธิ์ แต่มันบริสุทธิ์ ด้วยความที่ว่ามันทับไว้คือว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสไง

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสมันเหมือนกับเป็นวิญญาณตัวปฏิสนธิ นั่นนะที่ว่าคนเกิดเกิดตรงนั้นไง เกิดตรงที่ว่าจิตนี้เป็นพลังงานอันเริ่มต้น แต่พลังงานนี้มันก็มีโทสัคคินา โมหัคคินา แต่มันละเอียดอ่อนอยู่ข้างใน แต่พอเกิดออกมาเป็นมนุษย์ ออกมาเป็นความคิด แล้วเราเห็นกระแสทั่วไป เห็นความเป็นไปของศาสนา เห็นความเป็นไปของอะไร อันนี้มันถึงเป็นตัวจุดความคิดอีกทีหนึ่งไง

ดูดวงอาทิตย์สิ ดวงอาทิตย์นี้เป็นตัวพลังงาน แต่แสงที่มันส่งมายังโลก ดูสิ ตัวแสงที่ส่งมาโลกเรานั่นก็คือความคิดที่ส่งออกไง ความคิดที่ส่งออกไปมันกระทบกระทั่งกัน มันถึงว่าเป็นอาการของจิต ไม่ใช่เนื้อจิต

แต่พอถึงตัวพลังงานตัวนั้น เป็นตัวเนื้อของจิตไง ถึงว่าต้องอาศัยความกดดันเข้ามาให้ถึงตัวเนื้อของจิต เนื้อของจิตก็ตัวจิตเดิมแท้นั่นนะ พอจิตเดิมแท้นั่น มันพลิกกลับสิ เป็นตัวพลิกกลับ

ฉะนั้นตรงนี้คือว่า ความคิดหรือความที่กระทบกระทั่งกัน อันนั้นเป็นเรื่องของ โทสัคคินา โมหัคคินา โลภัคคินา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหลงสิ ต้องมีหลง เพราะมีการหลง มีการเข้าใจผิด มันถึงได้มีกิเลส

แต่ถ้ามันสิ้นกิเลส ความหลง ความติด ความใกล้ชิด ความอะไร มันต้องดับหมดสิ ความบริสุทธิ์มันต้องไม่มีความมัวหมองอยู่ในความบริสุทธิ์นั้นเลย มันถึงเรียกว่า บริสุทธิ์ ถ้ามีความมัวหมองอยู่บ้างมันจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร แต่โลกเขาว่าอย่างนั้นนะ ว่าไร้เดียงสาไง

ความบริสุทธิ์ของจิตที่เกิดขึ้นมา เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ มันไร้เดียงสา ถ้าไร้เดียงสาทำไมมันร้องไห้ ทำไมมันต้องการ มันอ้อนพ่อแม่มัน การไร้เดียงสานี้มันยังซุกอยู่ไง มันยังไม่แสดงออกไง ไร้เดียงสาคือว่าบริสุทธิ์แบบเด็กๆ มันไม่ได้บริสุทธิ์แบบจิตบริสุทธิ์ เราถึงว่าจิตที่ว่าเด็กเกิดมาบริสุทธิ์ จิตเดิมแท้มันมาเกิด จิตสว่างไสวนี่ อันนั้นเป็นกิเลสล้วนๆ เลย

ถ้าอย่างนี้ปั๊บมันก็มาดูถึงความคิด แล้วเราต้องพยายามยืนต้านให้ได้ไง ดังนั้นถึงว่า ถึงไม่ได้ไปบอกเขาไง ว่าคนโพธารามไม่เห็นด้วยก็มี ลูกศิษย์ในวัดเรานี่ก็ไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้ว่าเขานะ เราไม่ได้ว่าคนคนนั้นผิด เพียงแต่ไปพูดว่า ไม่ใช่หลงตัวเองไง ไม่ใช่ว่ามานี่ คนโพธารามจะยันมาทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คนโพธารามเขาหนุนมาทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าให้หลวงพี่มา ไม่ใช่! คนโพธารามส่วนใหญ่ให้มา แต่คนที่ไม่เห็นด้วยก็มี เห็นไหม มันต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องมีฝั่งตรงข้าม นี่ประชาธิปไตย

อันนั้นถึงว่าถ้าเราคิดถูก เราทำเพื่อความดี เราต้องยืนหลักของความดีไว้ไง สัมมาสมาธิ สมาธิถูกต้อง ความดำริไง ความคิดเห็นที่ถูกต้อง ถ้าความดำริชอบ เราจะสร้าง เราจะก่อสร้าง เราจะทำคุณงามความดี เราต้องยืนให้ได้ ยืนต้านกระแสไง กระแสจะว่าอย่างไรก็ต้องต้านกระแส ให้เวลาพิสูจน์กัน ถึงได้ว่าต้องเหนื่อยไง

นี่ทำเพื่อศาสนานะ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวบุคคล ถ้าทำเพื่อตัวบุคคล โอ้โฮ แป๊บเดียวๆ แต่คนจะทำเพื่อศาสนา ทำเพื่อส่วนรวมนี่คนๆ นั้นจะเหนื่อยมาก แล้วคนๆ นั้นจะไม่ได้ประโยชน์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

เพราะว่าอย่างเช่น การเงินของประเทศเราเห็นไหม รัฐบาลจะดีเขาเรียกรัฐบุรุษ มันทำเพื่อลูกหลานไง คนทำอยู่นี่กว่าผลมันจะออกมา อีก ๑๐ ปีข้างหน้า ผลมันถึงจะออก มันไม่มีผลออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่าทำวันนี้ พรุ่งนี้ได้ผลไง ต้องทำนะ อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ผลมันถึงจะออกมา

นี่ก็เหมือนกัน ลงไปนี่เหนื่อยกันนะ โอ้โฮ เหงื่อซกๆๆ วิ่งกันนะ แล้วกว่าผลงานมันจะออกมานะ กว่าพระจะภาวนาขึ้นมา อีก ๒๐ ปีมันจะเห็นผลไหม ถึงว่าต้องยืนไง ต้องอดทน

ทำความดีเพื่อศาสนา ทำความดีเพื่อความดี เหนื่อย.. เหนื่อยแล้วไม่ได้อะไรหรอก มีแต่คนแก่เฒ่าแล้วมันถึง เอ้อ คนนี้มันถูกต้อง แต่มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะว่ามันต้องฝืนไปไง เวลาทำงานทำยาก แต่เวลาเขาชมมาก็นั่นแหละโลกธรรม ๘ อาจารย์ถึงบอก เวลาเขาติมาเหมือนเสาเข็มทิ่มไปกลางหัวใจนะ เวลาชมมามันลอยลม ชมมาเหมือนลมมันพัดเข้าหูหน่อยเดียว แต่เวลาเขาติเขาว่า เหมือนเข็มทิ่มเข้าไปในหัวใจเลยล่ะ โลกธรรม ๘ และเราไม่เห็นความเสมอของมันไง

มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ

แต่นี่ไม่ใช่ลาภเลย ถ้าเป็นลาภก็เป็นทุกขลาภ มีแต่ความเหนื่อย มีแต่ความต้องไปขวนขวายไง แล้วจะวางรูปแบบให้ได้ด้วย ต้องวางรูปแบบให้ได้ เพราะใครๆ ก็เห็นว่าศาสนานี้เป็นลูกตุ้มของสังคม ศาสนานี้เอาเปรียบสังคม คนจน คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกแล้วถึงมาบวช ไม่ใช่นะ ถ้าหัวใจที่ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส หัวใจนี้มีบุญญาบารมี หัวใจดวงนี้เข้ามา ของที่จะเข้ามาถึงในศาสนามันละเอียดอ่อนมาก

ดูอย่างเราบอกเด็กๆ สิ เด็กๆ มันจะไม่เชื่อเลยที่พวกผู้ใหญ่บอก อ๋อ อันนั้นไม่ถูก อันนี้ไม่ถูก จะไม่เชื่อเลย นี่ก็เหมือนกัน กายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของสมมุติทั้งหมด ใครมันจะเชื่อล่ะ สมมุติที่ไหนวิ่งหากันซกๆ อยู่นี้

แต่มาภาวนาเข้าจนเห็นตามความเป็นจริง เข้าใจตามความเป็นจริงนะ แล้วทะลุความจริง แล้วปล่อยวางได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจำมาจากตำรานะ ตำราเขาสอนมาไม่ใช่ของเรา อะไรก็ไม่ใช่ของเรา ยืมเขามาๆ แต่เวลามันหลุดจากมือเราไป ทุกข์ใจขนาดไหน เห็นไหม นี่มันถึงว่าทำยาก

เรื่องเข้าถึงศาสนามันละเอียดอ่อนมาก แล้วพอโลกเขาทำกันอย่างนี้ โลกทำกันแบบประชาสัมพันธ์ ความเห็นไง ไม่เอา เพื่อจะไปเอาให้มาก นี่ไม่เอา ไม่เอาก็ต้องไม่เอา แล้วจะสร้างให้เห็นเลย ให้ทุกข์เข้าไว้ไง

ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ไม่ใช่ไปทำงานให้ทุกข์มาอย่างนี้ เวลาโยมทำงานกันบ่นกันว่าทุกข์ๆๆ เห็นไหม แต่มันทุกข์อะไร ทุกข์เปลือกนี่ ความทุกข์จากความกำหนดภายในไง อย่างจิตนี้มันมีความรู้สึกข้างใน ภายใน มันขยับออก พอขยับออก “เอ็งจะไปหาความทุกข์อีกแล้วหรือ” มันจะปล่อยทันที

เริ่มต้นของความทุกข์คือตัวหัวใจที่ไปเกาะเกี่ยว เราไม่คิดเสียอย่างก็ไม่มี เราไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่เคยอ่านข่าวเลย เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เรื่องที่มันมีอยู่เราก็ไม่รู้ แต่พอเราไปรู้เข้า มันก็เป็นทุกข์ขึ้นมาภายในหัวใจ ความคิดที่จะออกไปคิดนั่นนะ เริ่มต้นจากตรงนี้ไง ใจเป็นปฐมเหตุไง ใจเริ่มขยับไง ขยับปั๊บมันก็ต้องเหนื่อยใช่ไหม เพราะใจคิดอยากได้อะไร อยากได้ก็ต้องแสวงหา

พอแสวงหาแล้วแสวงหาเพื่อต้นทุน เพื่อเราจะไปซื้อของนั้นมาใช้ พอซื้อมาแล้ว ของนั้นเสื่อมสภาพไป เห็นไหม ทุกข์กี่ชั้น เริ่มต้นจากแสวงหาเงินก่อน แล้วไปซื้อของมาใช้ ของนั้นเสื่อมสภาพ พอเสื่อมสภาพแล้วต้องรักษาของนั้นอีกเห็นไหม ความคิดริเริ่มอันเดียว มันจะลากเป็นสายโซ่ทุกข์ไปตลอดเลย

ฉะนั้นพอพิจารณาไม่ใช่ทุกข์ข้างนอกนะ ทุกข์ดับที่นี่ไง พอไปเริ่มต้นไม่มี ความเริ่มต้นไง ถึงว่า ”คนเรากลัวการตาย ไม่กลัวการเกิด” เริ่มต้นจากเหตุการณ์เกิด จากการแสวงหาไง ดับที่เหตุการณ์เริ่มต้น เหตุที่เริ่มแสวงหาไม่มี การแสวงหานี่ สติมันพร้อมทำไมมันดับทันหมด เห็นไหม เริ่มต้นแสวงหา เริ่มต้นริเริ่มไม่มี

พระพุทธเจ้าถึงได้เย้ยพญามารไง “มารเอย บัดนี้เราเจอเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริของเราเอง บัดนี้เราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าจะเกิดจากใจของเราไม่ได้อีก เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกเลย” ความดำริจากความคิดที่มารจะแทรกออกมาจากหัวใจพระพุทธเจ้าจะไม่มีอีกเลย ตั้งแต่วันที่ชำระกิเลสสิ้นแล้ว นั่นความดำริออกจากใจ ความเริ่มต้นจากทุกข์ไง ถึงว่าเห็นทุกข์มันเห็นตรงนี้หรอก เห็นเหตุให้เกิดให้พาไปทุกข์ พอมันดับหมดแล้วมันก็ไม่มี แต่กว่าจะดับได้ก็ต้องสาวเข้าไปๆ ถึงต้องทำกันเพื่อหลักการ

ไม้แก่นไง ป่าหนึ่งไม้แก่นมันมีน้อยใช่ไหม เราจะหาไม้แก่น เราต้องทำไม้แก่น ฉะนั้นเราถึงว่า เราจะทำตรงนี้ไง เข้ามาที่ตรงนี้ อย่างอื่นไม่เกี่ยว ใครจะทุกข์ ใครจะสุขอย่างไร มันก็ต้องว่าเห็นด้วย ทุกคนอยากให้ทุกคนมีความสุข แต่ความสุขของคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบ ความชอบของคนแตกต่างกัน แต่จิตใจแท้ๆ เริ่มต้นตรงนี้ ความชอบออกจากใจไป

อย่างเช่น หัวใจเหมือนกันหมดเลย แต่พอขยับไปเป็นความชอบนี่ต่างกันแล้ว พอถอยออกจากความชอบไปที่หัวใจ พอหัวใจมีความสงบ หัวใจมีความร่มเย็น สุขเหมือนกันหมดเลย พวกเราทุกคนเลยพอมาทำสมาธิ พอจิตสงบแล้วมีความสุขเหมือนกัน

สุขใดเกิดจากใจสงบไม่มี ความสุขใดๆ ในโลกนี้ เหมือนกับจิตใจเราสงบไม่มีเลย

แต่ถ้าขยับออกจากความชอบแล้ว ยุ่งแล้ว เพราะความชอบต่างคนต่างชอบ พอต่างคนต่างชอบ ต่างคนต่างแสวงหา ความสุขก็ต่างๆ กันไป บางคนชอบภูเขา บางคนชอบทะเล บางคนชอบไปเที่ยวเมืองนอก บางคนชอบเที่ยวเมืองในเห็นไหม ไม่เหมือนกันเลย แล้วมันออกไปคนละเรื่องแล้ว แต่ถ้าถอยลงมาที่หัวใจ นี่สงบเหมือนกัน เราถึงว่าจิตสงบ จิตมีความสุขมาก ถึงต้องหา ต้องทำกัน ไอ้อย่างนี้เราทำกันนี้ก็เพื่อที่ว่านี่แหละ เพื่อให้ใจมันสงบง่ายไง เพื่อทำให้ใจเราสงบง่าย

เราสร้างบ้านไว้ เราสร้างศาลาไว้ริมทาง มีคนมาพักมีคนมาอยู่อาศัย เราก็ได้บุญกุศล เราไปสร้างวัดสร้างวา เพื่อให้คนอื่นได้มาภาวนา เขาทำภาวนาขึ้นมามันก็เป็นบุญกุศลของเราเห็นไหม เราได้เจือจานเขา คนที่หิวมากๆ เลย เรายื่นน้ำให้เขากิน ยื่นข้าวให้เขากิน เขาอิ่ม เขายิ้มแย้มแจ่มใส เราก็มีความสุข บุญเกิดจากตรงนั้น ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่

การสร้างวัดสร้างวา เขาว่าเหมือนสร้างห้องแถวเก็บกินไปตลอด นี่ไปสร้างประสาเรา สร้างแบบนี้มันเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ได้ไปแสวงหามากนัก มันเป็นแล้ว อันนี้มันดีจริงๆ ด้วย ไปเจอเอาดีจริงๆ เลย แล้วมันพอใจ พระพอใจมาก อย่างนั้นมันถึงว่าถึงเวลาที่จะได้ทำงานดีๆ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)